Powered By Blogger

Last week..

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายที่ต้องเขึยนบล็อค เพราะสัปดาห์หน้าอาจารย์จะสรุปเนื้อหาที่เรียนมา เพราะนักศึกษา(บางคน)เริ่มสอบกันในสัปดาห์หน้าที่จะถึงแล้ว สัปดาห์นี้อาจารย์อธิบายถึงโครงสร้างองค์กรของบริษัทข้ามชาติและการจัดโครงสร้างองค์กรของธุรกิจประเภทต่างๆ ที่มีรูปแบบการจัดโครงสร้างที่แตกต่างกัน เพราะธุรกิจข้ามชาติ ต้องปรับโครงสร้างองค์กรให้สอดคล้องต่อสภาพแวดล้อมการแข่งขัน
การจัดองค์กร คือ การประสานงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กร สะท้อนว่า ธุรกิจควรจัดองค์กรในรูปแบบใด
รูปแบบการของจัดโครงสร้างองค์การธุรกิจระหว่างประเทศ
- แบบแบ่งตามหน้าที่ เน้นไปที่การทำงานที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะด้าน เช่น ฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย ฝ่ายบุคคล เป็นต้น แต่ละฝ่ายมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ภายในประเทศและต่างประเทศ การบริหารงานจะอยู่ที่ส่วนกลาง

ข้อดี คือหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงาน,สร้างความชำนาญเฉพาะด้าน,ง่ายต่อการควบคุมดูแลของผูบริหารระดับสูง
ข้อเสีย คือขาดการประสานงานกันและไม่ยืดหยุ่น,ไม่เหมาะกับองค์กรที่มีสายผลิตภัณฑ์จำนวนมาก
- แบ่งตามสายผลิตภัณฑ์  ใช้กรณีที่บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายหรือต้องดำเนินงานหลายประเทศ
ข้อดี สามารถปรับผลิภัณฑ์ ได้ตรงตามความต้องการของคนในพื้นที่และปรับเปลี่ยนได้ทันเวลา,
  ลดการสับสนของการบริหารผลิตภัณฑ์หลายชนิด
ข้อเสีย ต้นทุนในการวิจัยและพัฒนาสูง การถ่ายทอดเทคโนโลยีใช้ต้นทุนสูงเพราะต้องนำกำลังคนไปประจำในแต่ละพื้นที่, โอกาสในการเกิดนวัตกรรมน้อย, ขาดความเป็นเอกลักษณ์
- แบบผสมผสาน เป็นการรวมเอาแนวคิดการจัดองค์การรูปแบบอื่นมาผสมกัน ทำได้หลายลักษณะ เช่น ผสมระหว่างหน้าที่กับพื้นที่
ข้อดี สามารถเลือกรูปแบบโครงสร้างองค์การที่เหมาะสมกับการดำเนินงานในแต่ละระดับได้
ข้อเสีย ปัญหาการทำงานที่ซ้ำซ้อนระหว่างหน่วยงานต่างๆ
- แบ่งเป็นแผนกส่งออก  เป็นการจัดโครงสร้างที่แยกเป็นแผนกส่งออกเพิ่มขึ้นจากโครงสร้างองค์การเดิม เพื่อดูแลรับผิดชอบเฉพาะด้านตลาดส่งออกในต่างประเทศ
- แยกเป็นฝ่ายต่างประเทศ เป็นการจัดแบ่งอำนาจหน้าที่ให้กับฝ่ายต่างประเทศที่อยู่ในสำนักงานใหญ่เพื่อทำหน้าที่ดูแลกิจการสาขาในต่างประเทศ หรือไม่แยกก็ได้เพราะยอดขายในต่างประเทศอาจไม่คุ้มที่จะตั้งแผนกเพิ่ม
ข้อดี ช่วยลดภาระของผู้บริหารโดยข้อมูลจากฝ่ายต่างประเทศสามารถกลั่นกรองได้ก่อนที่จะเสนอไปยังกรรมการบริหาร
ข้อเสีย ทำให้เกิดการแข่งขันกันเองระหว่างฝ่ายในประเทศ และ ฝ่ายต่างประเทศ,สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และถ้าบุคลากรไม่มีความสามารถอาจก่อให้เกิดปัญหาได้




- จัดโดยยึดผลิตภัณฑ์สากล บริษัทต้องมีสินค้าหลากหลาย จะตั้งเป็นแผนกขึ้นมาโดยยึดความสำคัญของสินค้าแต่ละประเภท มองตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นเพียงตลาดเดียว รวมอำนาจไว้ที่สำนักงานใหญ่
ข้อดี สามารถตอบสนองได้ดีต่อสภาพการแข่งขัน,การบริหารงานมีความสอดคล้องกับตลาดในประเทศต่างๆ
ข้อเสีย รวมอำนาจการบริหารงานที่สำนักงานใหญ่

- ยึดหลักพื้นที่  มีบริษัทสาขาในต่างประเทศ เจาะจงลงไปในแต่ละพื้นที่ทั้งด้านผลิตภัณฑ์และการบริการอันเป็นที่ต้องการของลูกค้าในพื้นที่นั้นๆ
ข้อดี ยืดหยุ่นและความรวดเร็วในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นซึ่งก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการแข่งขัน มอบอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบให้แก่ระดับท้องถิ่น 
ข้อเสีย สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย(ทรัพยากรมนุษย์ และทรัพยากรการผลิต),ขาดความเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์
- แบบเมททริก เน้นการประสานความสัมพันธ์ในความรับผิดชอบ 3 ส่วนเข้าด้วยกัน คือ ผลิตภัณฑ์ พื้นที่ และ หน้าที่ด้านต่างๆ มีผลิตภัณฑ์หลากหลายและมีการดำเนินงานในหลายประเภท (ต้องเป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่สามารถนำทรัพยากรมาใช้ร่วมกันได้) กลยุทธ์ขององค์กรต้องชัดเจน อาจารย์ยกตัวอยากเช่น บริษัท P&G ข้อดี การใช้ทรัพยากรร่วมกันเพราะไม่สามารถควบคุมการผลิตได้
ข้อดี . มีการประสานงานที่ดีระหว่างฝ่ายต่างๆ,มีความยืดหยุ่นสูงต่อการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและสามารถเรียนรู้ลักษณะงานในหลายบทบาทของผู้บริหาร
ข้อเสีย มีหัวหน้างานหลายคน,ขาดเอกภาพในการบังคับบัญชาจึงทำให้เกิดความล่าช้าในการตัดสินใจ

กลยุทธ์ของธุรกิจข้ามชาติ 4 กลยุทธ์ ดังนี้
1.กลยุทธ์ระหว่างประเทศ(International Strategy)
มีแรงกดด้านต้นทุนต่ำและมีการปรับเปลี่ยนให้ตรงตามความต้องการของคนในท้องถิ่นต่ำ เช่น Louis Vuitton , JAGUAR เป็นต้น
2.กลยุทธ์ปรับเข้าหาท้องถิ่น(Multinational Strategy)
มีแรงกดดันด้านต้นทุนต่ำและมีการปรับเปลี่ยนให้ตรงตามความต้องการของคนในท้องถิ่นสูง เช่น Mcdonalที่ขายในประเทศไทย จะแตกต่างกับ Mcdonal ที่ขายในประเทศอินเดีย เป็นต้น
3.กลยุทธ์มุ่งสร้างความเป็นสากล(Global Strategy)
มีแรงกดดันด้านต้นทุนสูงแต่มีการปรับเปลี่ยนให้ครงตามความต้องการของคนในท้องถิ่นต่ำ เช่นรถยนต์ Toyota-Yaris กับ Honda-Jazz เป็นต้น
4.กลยุทธ์ข้ามชาติ(Transnational)
ธุรกิจที่มีแรงกดดันทางด้านต้นทุนสูง และมีการปรับเปลี่ยนสูง เช่น ยาเป็นต้น




กลยุทธ์ในการเข้าสู่ธุรกิจระหว่างประเทศ


กลยุทธ์ในการเข้าสู่ธุรกิจต่างประเทศมีปัจจัยต่างๆ ดังนี้

1.ขนาดของตลาดที่จะเข้าไปลงทุน

2.เลือกประเทศที่จะเข้าไปลงทุน

3.รูปแบบในการดำเนินธุรกิจ




ความเสี่ยงต่างๆที่องค์กรจะเผชิญเมื่อไปลงทุนในต่างประเทศ

1.การเมืองและกฏหมายของแต่ละประเทศวิเคราะห์โดยดูจากข้อมูลในอดีต หรือการเข้าไปคุยกับผู้ที่รู้เพราะรูปแบบการเมืองการปกครองมีผลต่อกิจการข้ามชาติ ถ้าสเถียรภาพของรัฐบาลไม่มั่นคง จะส่งผลต่อกำลังซื้อของคนในประเทศ
2.อัตราเสี่ยงทางการเงิน
-ความผันผวนของค่าเงิน
-การเคลื่อนย้ายเงินทุน
-สภาพการแข่งขัน หรือคู่แข่ง
-ภัยพิบัติตามธรรมชาติ

วิธีการพิจารณาประเทศที่จะเข้าไปลงทุนจากหลายๆประเทศ โดยใช้เครื่องมือ 2 ชนิด ดังนี้
1.GRID เปรียบเทียบโอกาศ ความน่าสนใจในการลงทุน ความเสี่ยงฯ จากการให้คะแนน ไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว การให้น้ำหนักของแต่ละปัจจัยขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท
2.MATRIX เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์แบบที่มีปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาอย่างน้อย 2 ปัจจัย
เมื่อสามารถที่จะเลือกประเทศที่จะเข้าไปลงทุนได้แล้ว พิจารณาถึงขั้นตอนในการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

  • การส่งออก
  • สัญญาเหมาเบ็ดเสร็จ(Turnkey Project) สัญญาที่จะเข้าไปลงทุน
  • การขายสิทธิบัตร(Licensing)
  • การขายแฟรนไชส์(Franching) ให้สิทธิทางการค้า
  • การร่วมทุนกับผู้ประกอบการในต่างประเทศ (Joint Venture)
  • การเข้าไปลงทุน 100%
สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากหนังสือ การบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ รศ.ดร. ชนงกรณ์ กุณฑลบุตร
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.geocities.com/dol_nida/Strategic_index_2.htm

ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ

สัปดาห์สุดท้ายก่อนการสอบกลางภาค
ทฤษฎีการค้าระหว่างประเทศ
1. ลัทธิพาณิชย์นิยม หรือ การค้านิยม "ทองเป็นตัวแทนของความมั่งคั่ง" การสร้างความเข็มแข็งทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยการสนับสนุนจากภาครัฐ ให้ผู้ผลิตภายในประเทศส่งออกสินค้าให้มากที่สุด และ นำเข้าสินค้าจากต่าประเทศให้น้อย
โทมัส มุน - ประเทศจะมั่งคั่งได้ก็ต่อเมื่อ ต้องส่งออกให้มากที่สุดและนำเข้าให้น้อยที่สุด และจากการช่วยเหลือของรัฐ (Zero Sungame)
2. ทฤษฎีการได้เปรียบโดยสมบูรณ์ "อดัม สมิธ" หลักการจัดการแบ่งงานกันตามความชำนาญ ความได้เปรียบในการผลิตสินค้าที่ประเทศหนึ่ง สามารถผลิตสินค้าได้เท่ากับที่ประเทศอื่นผลิตได้ โดยใช้ปัจจัยการผลิตที่น้อยกว่า หรือ ปัจจัยการผลิตเท่ากัน แต่สามารถผลิตสินค้าได้มากว่า ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศควรเลือกสินค้าที่สามารถผลิตแล้วได้เปรียบ(โดยอาจารย์ยกตัวอย่างประกอบเพื่อให้เข้าใจมากขึ้น)
3. ทฤษฎีความได้เปรียบเทียบ "เดวิท ริคาโด" ประเทศที่มีความได้เปรียบในสินค้าชนิดใดควรทำการผลิตสินค้าชิ้นนั้น และซื้อสินค้าที่ตนไม่มีความชำนาญ (ถ้ามึความสามารถหลายด้าน ก็เลือกด้านที่ชำนาญกว่า)
4. ทฤษฎีของ แฮกเกอร์ ลอแลง หลักการสำคัญ คือ ความแตกต่างทางการผลิตนั้นเกิดจากประเพณีที่แตกต่างกัน ความแตกต่างของต้นทุนการผลิต ปัจจัยในการผลิต ดังนั้นประเทศหนึ่งๆ ควรจะผลิตสินค้าที่ใช้ทรัพยากรในประเทศ และนำเข้าสินค้าที่ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศเนื่องจากขาดทรัพยากร
5. ทฤษฎีของผลิตภัณฑ์ เชื่อว่าสินค้าใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา จะมีราคาสูง

องค์ประกอบที่ทำให้เกิดความได้เปรียบทางการแข่งขัน 4 ประการ
1. ความพร้อมของประเทศ
2. เงื่อนไขความต้องการของสินค้า
3. อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องสนับสนุน
4. กลยุทธ์ โครงสร้าง และการแข่งขันทางธุรกิจ

เป็นสัปดาห์สุดท้ายของเนื้อหาการสอบปลายภาค อยากให้อาจารย์อธิบายถึงแนวข้อสอบมากขึ้นเนื่องจากข้อสอบเป็นข้อเขียนค่ะ

Globalization โลกาภิวัตน์ กับความเป็นสากล

Globalization โลกาภิวัตน์ กับความเป็นสากล
      แนวโน้มการปรับเข้าหากันของระบบเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ตลอดจนการดำเนินชีวิตของประชาชนในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ส่งผลทำให้ประชาชนในประเทศต่างๆ มีพฤติกรรมคล้ายกัน ภายใต้ความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนาและวัฒนธรรม
ปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดความเป็นสากล
1. การพัฒนาทางด้านการคมนาคม และการสื่อสาร
2. แนวโน้มตลาดสากล คือ แนวโน้มที่ผู้บริโภคในประเทศต่างๆ นิยมบริโภคสินค้าหรือบริการเหมือน ๆ กัน
3. แนวโน้มผลิตภัณฑ์สากล หมายถึง สินค้าหรือบริการที่ถูกพัฒนาให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เช่น Apple
4. แนวโน้มผลิตแบบสากล เช่น คอมพิวเตอร์ อาศัยชิ้นส่วนจากหลายประเทศ

จาการสอนโดยการยกตัวอย่างประกอบ เพื่อให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น ยังงงๆ

กลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ


กลยุทธ์ในการบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ

1. การจัดการเชิงกลยุทธ์

   1.1 วิสันทัศน์

   1.2 ภารกิจ

   1.3 เป้าหมายของวัตุประสงค์

2. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม

3. การวางแผนกลยุทธ์

4. กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจระหว่างประเทศ

5. การวิเคราะห์กลยุทธ์ในระดับนานาชาติ
   5.1 การกำหนดกลยุทธ์ระดับบริษัท
   5.2 การกำหนดกลยุทธ์ระดับธุรกิจ
   5.3 การดำเนินกลยุทธ์ระดับหน้าที่

ความรู้เรื่องธุรกิจระหว่างประเทศ

            อาจารย์อธิบายเนื้อหา การจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ การวิเคราะห์ถึงสภาพแวดล้อมการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ โดยจะเน้นการจัดการองค์กรที่อยุ่ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมที่แตกต่างกันของบริษัทข้ามชาติ โดยจะแยกเป็นส่วนต่างๆ การตลาด การงิน การผลิต ซึ่งบริษัทจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศมีส่วนช่วยในการพัฒนาเศรษกิจของประเทศที่รับการลงทุน มีอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้นของคนในท้องที่ และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ส่งผลให้คนในประเทศมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และกระตุ้นให้บริษัทเอกชนของไทยเริ่มต้นเข้าสู่การทำธุรกิจระหว่างประเทศ เพราะธุรกิจระหว่างประเทศ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก บรรษัทข้ามชาติของแต่ละประเทศ มีการพัฒนาเทคโนโลยี และพยายามหาแนวทางพัฒนากลยุทธ์ ค้นคว้าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เสริมสร้างความสามารถในการแข่งขัน เพื่อขยายอำนาจทางการตลาด สามารถขายสินค้าของตนไปได้ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ในการดำเนินธุรกิจข้ามชาติ ย่อมมีปัจจัยจากสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป ตามลักษณะของประเทศที่ธุรกิจข้ามชาติต้องการไปลงทุน การหาพันธมิตรทางธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงทุน (joint venture) หรือการตกลงทำธุรกิจร่วมกัน โดยการทำสัญญาความร่วมมือระหว่างกัน (contractual relationship) เป็นต้น



วันนี้เหนื่อยมากค่ะ เรียนทั้งสองวิทยาเขตเลยขอตัวไปพักผ่อนก่อนดีกว่า โดยหวังว่า บทความนี้จะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านน๊ะคะ

อ้างอิง : http://news.sanook.com/economic
              http://www.sme.go.th/